ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง! มันสำปะหลังไทยต้องปรับตัวเพื่ออนาคต
![]() |
มันสำปะหลังถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ทั้งในด้านภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตมันสำปะหลังอันดับ 3 ของโลก และครองแชมป์ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอันดับ 1 ของโลกมากว่า 4 ทศวรรษ สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 110,276 ล้านบาทในปี 2567
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เปลี่ยนทิศทางการส่งออกจากสินค้าแปรรูปขั้นต้น เช่น มันเส้นและมันอัดเม็ด ไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งแบ่งเป็นแป้งดิบ (Native Starch) และแป้งดัดแปร (Modified Starch) ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากการทำงานร่วมกันของหลายภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน สถาบันอุดมศึกษา มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลัง และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ที่ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม มันสำปะหลังไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้านที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพการผลิตและการค้าในระยะยาว ปัญหาอันดับต้น ๆ คือ โรคใบด่างมันสำปะหลัง ที่ระบาดอย่างหนักในภูมิภาคอาเซียน ทั้งในไทย กัมพูชา และเวียดนาม การระบาดในไทยครอบคลุมพื้นที่ปลูกหลายล้านไร่ในเกือบทุกภาค ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคใหม่ตามมา แม้ว่าภาครัฐจะสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ท่อนพันธุ์ “ทนทาน” ที่ปราศจากเชื้อ แต่พันธุ์เหล่านี้มักติดโรคหลังจากปลูกเพียง 2–3 รุ่น ทำให้ไม่สามารถควบคุมโรคได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ผลผลิตต่อไร่ของไทยยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม และต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าแรงและราคาปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งไทยยังพึ่งพาตลาดส่งออกจีนเป็นหลัก ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงสูง หากจีนปรับนโยบายการนำเข้า หรือหันไปลงทุนในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
ในบางช่วง ไทยอาจจำเป็นต้องควบคุมหรือห้ามนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค แต่ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมโรงแป้งไทยได้ลงทุนไปมาก ทำให้มีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปและต่อเนื่องในอนาคต
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ศึกษาวิจัยแนวทางการสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งทางการค้าสินค้ามันสำปะหลัง โดยส่งข้อมูลและข้อเสนอให้กับสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญและแนวทางพัฒนาการผลิตและการค้ามันสำปะหลังของไทยได้ดังนี้
1. การผลิต
เร่งขยายพันธุ์ต้านทานโรคใบด่างอย่างเป็นระบบ: ควรเปลี่ยนจากการส่งเสริมพันธุ์ “ทนทาน” มาเป็นการขยายพันธุ์ “ต้านทาน” โรคใบด่าง โดยเริ่มจากพันธุ์อิทธิ 1 และ 2 ซึ่งผลการวิจัยพบว่าให้ผลผลิตและเปอร์เซ็นต์แป้งใกล้เคียงพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ที่ไม่ติดโรค
สนับสนุนเทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue Culture): เพื่อขยายพันธุ์ต้านทานให้เพียงพอสำหรับเกษตรกรทั่วประเทศภายใน 5–6 ปี พร้อมปรับระบบงบประมาณให้ยืดหยุ่นรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านโรคระบาด
พัฒนาพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตสูงและเปอร์เซ็นต์แป้งดี: นำพันธุ์ต้านทานมาผสมกับพันธุ์หลักของไทย และพันธุ์พิเศษอย่างพันธุ์แว็กซี่ที่สามารถผลิตแป้งพรีเมี่ยมโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมี
จัดการสิ่งแวดล้อมและใช้ประโยชน์จากผลพลอยได้: สนับสนุนงานวิจัยต้นแบบในการแปรรูปกากมันและน้ำเสียจากโรงแป้งเป็นปุ๋ยหรือวัสดุบำรุงดินตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) และปรับกฎหมายผังเมืองเพื่อสนับสนุนการตั้งโรงงานแปรรูปใกล้แหล่งผลิตภายใต้เงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม
2. ราคาและต้นทุน
ปรับโครงสร้างราคาตามเปอร์เซ็นต์แป้ง: เพื่อจูงใจให้เกษตรกรผลิตมันคุณภาพสูงและได้รับผลตอบแทนเต็มที่
ลดการแทรกแซงราคาและนโยบายประกันรายได้: เพราะอาจส่งผลลบต่อระบบตลาดระยะยาว และไม่ต่างจากการใช้ภาษีอุดหนุนการส่งออก
3. การค้า
ปรับนโยบายการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน: เพื่อรองรับความต้องการวัตถุดิบของอุตสาหกรรมแปรรูปในระยะยาว เพราะราคามันในไทยจะขึ้นอยู่กับตลาดโลกมากกว่าปริมาณในประเทศ
จากปัญหาและแนวโน้มที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องปรับนโยบายและเป้าหมาย เพื่อสร้างเสถียรภาพและความยั่งยืนให้การผลิตและการค้ามันสำปะหลัง การบรรลุเป้าหมายนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่กำหนดนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ภาคเอกชนที่ลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เกษตรกรที่ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ภาควิชาการที่ติดตามปัญหาและถ่ายทอดความรู้ ตลอดจนความร่วมมือระหว่างประเทศ
หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง มันสำปะหลังไทยจะยังคงเป็นสินค้าที่สร้างรายได้และเสถียรภาพให้ทั้งประเทศ อุตสาหกรรม และเกษตรกรได้ต่อไปอย่างยั่งยืน
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งทางการค้าสินค้าพืชไร่ (มันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โดยมี TDRI เป็นที่ปรึกษา
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://www.prachachat.net/economy/news-1876626