UBE มองเกมใหม่มันสำปะหลังไทย จากสินค้าขั้นต้นสู่มูลค่าเพิ่ม ฝ่าความผันผวนโลก
|
สุรียส โควสุรัตน์ |
อุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยในปี 2569 กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งปริมาณผลผลิตที่ผันผวน ความต้องการบริโภคในตลาดโลก ค่าเงินบาทแข็งค่า ภาวะเศรษฐกิจไทย รวมถึงความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวและทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจอย่างจริงจัง
สัมภาษณ์พิเศษ นางสาวสุรียส โควสุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE หนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศ ถึงภาพรวม โอกาส และทิศทางของอุตสาหกรรม ภายใต้แรงกดดันในปัจจุบันและอนาคต
ผลผลิตมันสำปะหลังขาลง เสี่ยงซ้ำรอยปัญหาเดิม
UBE ประเมินว่า ปี 2568 ปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังของไทยจะอยู่ที่ราว 25 ล้านตัน ลดลงจากบางปีที่เคยสูงถึง 30 ล้านตัน โดยมีปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งโรคใบด่าง ปัญหาท่อนพันธุ์ที่ยังไม่สามารถต้านทานโรคได้เต็มที่ สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน และข้อจำกัดด้านระบบชลประทาน ขณะที่ในอดีต ไทยเคยนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางแปรรูปเพื่อส่งออก แต่ปัจจุบันการนำเข้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากทั้งปัจจัยด้านนโยบายและโครงสร้างตลาดที่เปลี่ยนไป
ราคามันสำปะหลังในช่วงที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยถึงกว่า 90% ประกอบกับการที่ข้าวโพด ซึ่งเป็นสินค้าทดแทน มีปริมาณออกสู่ตลาดจำนวนมาก ส่งผลให้ราคามันสำปะหลังผันผวนตามความต้องการของจีน UBE มองว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรม คือการที่ไทยยังคงเน้นการแปรรูปขั้นต้นเป็นหลัก ทำให้กลไกราคาไม่แตกต่างจากเดิม หากต้องการยกระดับอุตสาหกรรม จำเป็นต้องส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างจริงจัง แต่ยังติดข้อจำกัดด้านกฎหมายและกฎระเบียบ โดยเฉพาะเรื่องการอนุญาตและมาตรฐานที่ยังไม่เอื้อต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
ปัญหาท่อนพันธุ์ยังไม่จบ จุดเสี่ยงผลผลิตระยะยาว
อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือ ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง แม้จะมีการพัฒนาพันธุ์ต้านทานโรค เช่น อิทธิ 1–3 และพันธุ์ระยอง แต่การกระจายพันธุ์ต้านทานโรคสู่เกษตรกรยังมีจำกัด ขณะที่พันธุ์ทั่วไปยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
UBE เห็นว่า หากต้องการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน หน่วยงานภาครัฐต้องเร่งส่งเสริมการใช้พันธุ์ต้านทานโรคอย่างเป็นระบบ ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) ตั้งเป้าภายใน 3 ปี ต้องขยายพื้นที่ปลูกพันธุ์ต้านทานโรคเพื่อลดปัญหาโรคใบด่าง แต่ยังต้องจับตา โรคโคนเน่า ซึ่งมีความรุนแรงและเกี่ยวข้องกับปัญหาน้ำและระบบชลประทาน
ปิดด่านหนุนราคาหัวมัน แต่โรงงานแบกรับต้นทุน
การนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว ส่งผลต่อสมดุลตลาด โดยเฉพาะกรณีการปิดด่านนำเข้าจากกัมพูชา ซึ่งช่วยหนุนราคาหัวมันในประเทศ แต่ในมุมของโรงงานแปรรูปกลับเผชิญความเสี่ยงด้านวัตถุดิบไม่เพียงพอ กระทบกำลังการผลิต
ขณะเดียวกัน ราคาหัวมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้นจากการแข่งขันแย่งซื้อของโรงงาน เพื่อตอบสนองคำสั่งซื้อส่งออก แต่ราคาแป้งมันในตลาดโลก โดยเฉพาะเวียดนาม ยังต่ำกว่าไทยราว 50 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปัจจัยด้านวัตถุดิบและแรงกดดันจากจีน
ปรับกลยุทธ์ เจาะตลาดเฉพาะ มุ่งมูลค่าสูง
UBE ระบุว่า การปรับตัวเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยบริษัทหันมาเน้นการเพิ่มมูลค่าสินค้า ผลิตตามคำสั่งเฉพาะของลูกค้า และเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม แทนการผลิตปริมาณมากเพื่อลดต้นทุนแบบในอดีต พร้อมรักษาฐานตลาดเดิมควบคู่กันไป
เรียกรัฐหนุนเอทานอล–ปลดล็อกอุตสาหกรรมใหม่
สำหรับอุตสาหกรรมเอทานอลในประเทศ ยังคงเผชิญความท้าทายจากความไม่ชัดเจนของนโยบายรัฐ ความต้องการใช้ลดลงจากวันละ 4 ล้านลิตร เหลือราว 3.2 ล้านลิตร ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา UBE มองว่า Biofuel จากมันสำปะหลังเป็นพลังงานที่ช่วยลดโลกร้อน และหลายประเทศมีนโยบายสนับสนุนอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ มันสำปะหลังยังมีศักยภาพต่อยอดสู่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยา แต่ยังติดข้อจำกัดด้านกฎหมาย หากรัฐมีนโยบายชัดเจน จะช่วยลดการพึ่งพาการขายมันเส้นและแป้งมันเพียงอย่างเดียว และสร้างเสถียรภาพให้เกษตรกรในระยะยาว
ภาษีสหรัฐ–ค่าเงินบาท ยังเป็นโจทย์ใหญ่
UBE ส่งออกไปสหรัฐราว 20–30% และติดตามสถานการณ์ภาษีอย่างใกล้ชิด โดยพบว่าพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป สั่งซื้อเป็นล็อตเล็กและถี่ขึ้น ลดการสต๊อกล่วงหน้า แม้มีโอกาสที่บางสินค้าจะได้รับการลดภาษีในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังคงเป็นปัจจัยกดดันรายได้ ซึ่ง UBE เห็นว่ารัฐควรเข้ามาดูแลควบคู่กับการผลักดันอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยให้ก้าวสู่การแปรรูปมูลค่าสูงอย่างเป็นรูปธรรม
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่: 2 โจทย์ยกระดับมันสำปะหลังไทย UBE จี้รัฐแก้ ‘ท่อนพันธุ์-สร้างมูลค่าเพิ่ม’

